16 พ.ค. 2555

ดอกมะลิบาน


สวัสดีเธอ...
      ยังจำดอกมะลิดอกนี้ได้ไหม  เธอเก็บให้ฉันจากหน้าหอเมื่่อครั้งที่เรายังเป็นนักศึกษา  ฉันเปิดเจอในสมุดบันทึกเล่มเก่าในนั้นเรื่องราวของเรายังครบถ้วนชัดเจน...
      ตอนนี้ที่หน้าบ้านฉันดอกมะลิออกดอกบานเต็มต้นส่งกลิ่นหมอฟุ้ง  ฉันบอกให้พ่อชำต้นมะลิไว้ให้ฉันสักต้นเพื่อจะเอาไปปลูกหน้าบ้านเธอ  ถึงเวลานั้นดอกสีขาวๆจะส่งกลิ่นหอมๆและบานเต็มต้น
      เธอยังจะเก็บดอกมะลิบานให้ฉันไหม???  เมื่อดอกมะลิบานหน้าบ้านเรา

                                                                              รักและคิดถึง
                                                                                 AromaPat

15 พ.ค. 2555

ดอกไม้...ของแม่


พ่อซื้อดอกกล้วยไม้มาให้แม่...
แต่แม่เลี้ยงกล้วยไม้ไม่เป็น
พ่อดูแลกล้วยไม้ให้แม่ทุกวัน
ฉีดน้ำ...ให้ปุ๋ย
แม่ดีใจ...ที่กล้วยไม้ออกดอก
พ่อไม่ได้บอกรักแม่ให้เราได้ยิน
แต่ที่เราเห็น...
ความใส่ใจของพ่อ
ทำให้เรารู้ว่า...
พ่อรักแม่มากแค่ไหน
ป.ล. อยากเห็นความใส่ใจกันทุกครอบครัวเหมือนกับครอบฉัน  Smiley

1 พ.ค. 2555

จดหมายจากดอกปีบ


ดอกปีบ...ที่คิดถึง
“ ...เฮ้ย...แกเป็นไงบ้าง 
“ สบายดี แกล่ะ ”
“ สบายดี เหมือนกัน แต่ยุ่งๆหวะ 
“ ใช่ดิ ทำงานแล้วนี่ 
“ เออ แล้วงานแกเป็นไงบ้าง 
“ ก็โอเคนะ แต่ก็ต้องปรับตัวอีกเยอะเลย แกล่ะ 
“ ก็อย่างนี้แหละเป็นหัวหน้าก็ต้องรับผิดชอบมากแต่งานชั้นก็สนุกได้คิดอะไรเยอะ
“ ชั้นรู้ว่าแกได้คิดเพราะว่าเมื่อก่อนแกไม่เคยคิดเลย555 ”
“ เออ ว่าชั้น แค่นี้ก่อนนะ 
“ เออๆ แล้วค่อยคุยกัน คิดถึงแกนะ
“ คิดถึงแกเหมือนกัน 
หวัดดี....เพื่อน
หลังจากบทสนทนาทางโทรศัพท์จบลงความเงียบงันก็เข้ามาแทนที่ ฉันจำไม่ได้แล้วว่าได้คุยกับแกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ตอนเรียนอยู่ชั้นปี 4 หรือว่าก่อนฉันเข้าทำงาน แกโทรมาหาฉันหลังจากที่เราไม่ได้คุยกันนานมากแต่ฉันก็ดีใจที่แกโทรมาหาและมันทำให้ฉันคิดถึงแกมากและมากขึ้นของกลางดึกคืนนี้จนทำให้ฉันต้องไปเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆดูรูปแกรวมถึงเพื่อนๆของเรารูปถ่ายใบนั้นฉันกับแกยืนอยู่ใกล้กันยิ้มหน้าระรื่นในวันที่เราไปเที่ยวเชียงใหม่ก่อนจะจบม.ปลายฉันจำได้ว่ากลัวความสูงมากจนไม่กล้าข้ามสะพานไม้เพื่อไปดูดอกไม้แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่พลาดที่จะได้ดูดอกไม้สวยๆแถมยังได้ติดมือกลับมาด้วยถ้าไม่มีมือแกมาจับพาฉันเดินไปตอนนั้นฉันคงต้องนั่งเหงาอยู่อีกฝั่งคนเดียวฉันส่งดอกปีบที่ร่วงอยู่แถวนั้นให้แกแทนคำขอบคุณโดยที่ฉันกับแกไม่ได้พูดอะไรกันเลยแต่ฉันรู้ว่าแกคงเข้าใจและส่งดอกปีบอีกดอกมาให้ฉันฉันเก็บดอกปีบที่แกให้ในสมุดบันทึก...
เมื่อเราต้องแยกย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละแห่งฉันกับแกโทรหากันทุกอาทิตย์ตอนอยู่ปี1 พอขึ้นปี 2,3 และ 4เราก็ห่างกันไปเรื่อยๆโทรหากันบ้างนานๆครั้งๆ ก็เราต่างมีเพื่อนกลุ่มใหม่กิจกรรมใหม่ๆ อยู่สถานที่ใหม่ๆ ด้วยเรื่องราวที่ต่างไปจากเดิมทำให้ความสำคัญในเรื่องเก่าๆคนเก่าๆห่างหายไปตามเวลา...
ตอนนี้ฉันกับแกต่างก็ทำงานแล้วนานๆครั้งฉันหรือแกถึงโทรหากันแต่เราก็เข้าใจและยังเมาท์แตกทุกครั้งที่เรานัดเจอแกรู้ไหมว่าดอกปีบสีขาวที่แกให้ในวันก่อนตอนนี้เปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลและกลิ่นหอมๆของดอกปีบก็จางไปด้วยแต่เรื่องราวและภาพเมื่อวัยเยาว์ของเรายังคงชัดเจนทุกครั้งเมื่อคิดถึงแกล่ะคิดถึงฉันไหม...
เมื่อคนเราอายุมากขึ้นเรื่องราวที่พบเจอก็มากขึ้นผู้คนใหม่ๆสถานที่ใหม่ๆแต่หัวใจดวงเดิมความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามวาระตามเวลาแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ความเป็น เพื่อน” ของเรายังแจ่มชัดคือความทรงจำเฉกเช่นภาพถ่ายเมื่อคิดถึงก็หยิบออกมาดู หายคิดถึงก็เก็บลงลิ้นชัก ถึงแม้ลิ้นชักใบนี้อาจจะไม่ได้ถูกเปิดบ่อยๆและภาพถ่ายใบนั้นอาจจะซีดจางแต่อดที่จะอมยิ้มไม่ได้กับความทรงจำดีๆที่ผ่านมาว่าชีวิตมีความสุขแค่ไหนเพราะอะไรหรือแก...ก็เพราะโลกใบนี้มีความรัก...ความรักที่ก่อเกิดให้เกิดมิตรภาพไงล่ะ
ฉันรู้แล้วว่าทำไมห้องถึงเงียบตอนที่เราจบบทสนทนาทางโทรศัพท์ และฉันอยากจะบอกแกก่อนจบจดหมายฉบับนี้คิดถึงแกนะ-เพื่อนรัก
Aromatic
ป.ล.ให้กลอนบทนี้พูดแทนความคิดถึงที่มีต่อแกนะ...เพื่อนรัก
ดอกเอ๋ยดอกสีขาว  มีก้านยาวระย้าย้อย
ถูกลมที่ล่องลอย    ดอกปีบน้อยร่วงหล่นไป
สีขาวของดอกปีบ   มีหลายกลีบดูสดใส
กลิ่นหอมประทับใจ  ยังจำได้ครั้งวัยเยาว์
เมื่อจบการศึกษา  ก็บอกลามาจากเขา
วันนี้ไม่มีเรา ภาพเก่าๆยังชัดดี
ขอบคุณนะเพื่อนรัก  ที่ทายทักกันวันนี้
มิตรภาพยังอุ่นดี   ขอบคุณที่ไม่ลืมกัน
ในรอยจำหน้าหนึ่งๆ   มีคำซึ้งเธอให้ฉัน
อีกหน้าที่ติดกัน  ดอกปีบนั้นยังอยู่ใกล้
กลิ่นหอมอาจจะจาง  เมื่อต้องห่างกันไปไหน
มิตรภาพไม่จางไป  อยู่ในใจเราทุกครา
คิดถึงนะคิดถึง  ดูไม่ซึ้งแต่ห่วงหา
สุดท้ายจะกลับมา  เมื่อรู้ว่า...ดอกปีบ...ยังเฝ้าคอย

เด็กเอ๋ย...เด็กน้อย



เจ้าเด็กเอ๋ย...เจ้าเด็ก...ตัวน้อยน้อย
ความรู้เจ้า...ยังด้อย...เร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่...เจ้าอยากได้...ปริญญา
จนต้องหา...ที่ร่ำเรียน...เพิ่มเติมไป

เมื่อปิดเทอม...หน้าร้อน...ย้อนอีกครั้ง
เจ้าก็ยัง...ต้องร่ำเรียน...ไปถึงไหน
ตัวยังเล็ก...แบกตำรา...ขึ้นรถไป
เลื่อนชั้นใหม่...เตรียมตัว...กวดวิชา

2 ชั่วโมง...ตอนเช้า...เรียนเคมี
วันที่มี...จัดสรร...เรียนภาษา
ทั้งฟิสิกส์...คณิต...ชีววิทยา
มีเวลา...เด็กน้อย...ลงคอร์สไป

คอร์สพื้นฐาน...คอร์สล่วงหน้า...คอร์สตะลุย
จะได้คุย...กับเพื่อน...เรียนที่ไหน
เพื่อนเรียนได้...ฉันก็เรียน...ตามกันไป
เปิดเทอมใหม่...ลองคอร์สเอนท์...ด้วยอีกคน

ถ้าเด็กน้อย...กวดวิชา...ตามกระแส
เงินพ่อแม่...ขอมา...อาจขัดสน
กวดวิชา...ไม่บอกค่า...ความเป็นคน
เจ้าลองค้น...หาคำตอบ...กวดวิชา

ขึ้นอยู่กับ...จุดประสงค์...ของเด็กน้อย
เจ้าค่อยค่อย...ร่ำเรียน...เพียรศึกษา
เพื่อวันหนึ่ง...เจ้าจะได้...ปริญญา
หรือเพียงว่า...กวดวิชา...ค่านิยม

23 เม.ย. 2555

อย่างไหนมากกว่ากัน????


สวัสดี...เธอ

เราไปทะเลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่  นานแล้วสินะ
คิดถึงทะเลเหมือนกัน...^_^
แต่ไม่รู้ว่าระหว่างทะเลกับเธอ...
ฉันจะคิดถึงอย่างไหน  มากกว่ากัน????
ฤดูร้อนย้อนมาอีกครั้ง...
ทะเลหน้าร้อนจะสวยไหม
หาเวลาไปทะเลด้วยกันนะ
ไปดูทะเลหน้าร้อน
และไปฟังว่า...ฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน

คิดถึงเธอ

11 เม.ย. 2555

หมาน้อยในบ้านไม้สีขาว

         

  นาฬิกาบอกเวลา 5 โมงเย็น ฉันขี่จักรยานเล่นแถวๆริมทะเลหวังว่าจะได้ดูพระอาทิตย์ตกน้ำทะเล ทุกๆวันฉันต้องผ่านบ้านไม้สีขาวหลังหนึ่ง บ้านไม้สีขาวธรรมดาๆสำหรับใครหลายคนแต่สำหรับฉันแล้วมันคือบ้านในฝันและตรงกับแปลนบ้านที่ฉันคิดฝันไว้ฉันจึงสนใจเป็นพิเศษ
บ้านใครก็ไม่รู้แต่ที่รู้และที่เห็นเป็นบ้านไม้สีขาวสองชั้น ประตูรั้วไม้ระแนงสีขาว ตัวบ้านยกสูงใต้ถุุนเปิดโล่ง มีระเบียงกว้างมากๆและที่สำคัญบ้านหลังนี้ติดทะเล ถ้าฉันยืนตรงระเบียงดูพระอาทิตย์ตกน้ำทะเลคงเป็นมุมที่สวยที่สุดมุมหนึ่ง มีต้นลีลาวดีซึ่งมีดอกไม่กี่ดอกและมีใบเพียงไม่กี่ใบ มีต้นมะพร้าวหนึ่งต้นและมีหมาน้อยนอนอยู่ตรงบันไดขั้นที่5 "เฮ้ย...อยากจะเข้าไปจัง" ฉันเริ่มฟุ้งซ่าน 
      บ้านหลังนี้จะว่าเป็นบ้านร้างก็ไม่ใช่เพราะมีเจ้าหมาน้อยนอนอยู่ตรงบันได เจ้าของบ้านต้องเป็นใครสักคนที่ไม่อยู่ติดกับที่จึงปล่อยให้บ้านเงียบขนาดนี้ ฉันมีความรู้สึกว่าหมาน้อยมันเหงาๆมันคงรอคอยใครสักคนมาเล่นกับมัน ฉันเลยเข้าไปทักทายเจ้าหมาน้อย เจ้าหมาน้อยมองฉันอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจกระดิกหางเข้ามาหาฉันตรงประตู ฉันเอาขนมปังให้มันหนึ่งก้อน กินเองหนึ่งก้อน เจ้าหมาน้อยกินหมดก่อนฉัน ฉันเลยแบ่งให้มันอีกครึ่งก่้อน ฉันนึกสงสัยในแต่ละวันมันจะกินอาหารที่ไหนแต่เห็นเศษอาหารหมาสำเร็จรูปและจานอาหารอยู่ตรงข้างบันไดคงมีใครมีหน้าที่ให้อาหารเจ้าหมาน้อยทุกวันแหละ ปกติแล้วฉันเป็นโรคไม่ถูกกับสัตว์สักเท่าไหร่ประหนึ่งไม่อาจเป็นนางสาวไทยได้แต่อดไม่ได้ที่จะลูบหัวมัน มันก็ก้มหัวรับอย่างนอบน้อม เจ้าหมาน้อยทำให้ฉันรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยทันที ฉันจึงเรียกเจ้าหมาน้อยตัวนี้ว่า...สปา
เย็นวันรุ่งขึ้นฉันก็ไปเจ้าสปาอีกและไปมาหาสู่กันนานนับเดือน คุยกันตรงประตูรั้วที่เดิม แม้จะมีประตูรั้วมาขวางกั้นฉันกับสปาไว้แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นมิตรภาพที่ฉันและสปาต่างมีให้กัน ถ้าวันไหนฉันไม่ได้ไปหาเจ้าสปาฉันจะเป็นห่วงมันอย่างมาก มันจะหิวไหม ใครจะเล่นกับมัน คิดแล้วอยากจะเจอหน้าเจ้าของ สปา....ทำไมใจร้ายนัก
วันนี้ฉันมาขี่จักรยานเล่นเช่นเดิมและไม่ลืมที่จะแวะหาเจ้าหมาน้อย "สปา...สปา" ฉันเรียกหาเจ้าเพื่อนสี่ขา เงียบ...ไม่มีเจ้าสปามากระดิกหางต้อนรับอย่างทุกวัน ฉันลองเรียกอีกครั้ืง ตาก็สำรวจความผิดปกติของบ้านไม้สีขาว วันนี้ประตูรั้วไม้ระแนงสีขาวเปิดอยู่ฉันเลยถือวิิสาสะเข้าไปโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร
"คุณรู้จักหมาผมด้วยเหรอครับ" ฉันหันไปมองตามเสียง ชายหนุ่มแบกเป้ใบโตบนบ่าโดยมีเจ้าสปาอยู่ไม่ห่างกาย
"ชั้นตั้งชื่อหมาคุณว่าสปาเองแหละ ชั้นมาเล่นกับสปาทุกวัน แล้วคุณไปไหนมาทำไมถึงปล่อยให้หมาคุณอยู่บ้านลำพัง" ฉันใส่เป็นชุดเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้าสปา
       "ผมก็เดินทางไปเรื่อย ส่วนไอ้เจ้าตัวนี้ชื่อสปา ขอบคุณที่มาเล่นกับสปาหมาผมนะครับ แต่เอ๊ะ!!! คุณนี่เก่งจังนะตั้งชื่อได้ตรงกับความจริงมากๆ สุดยอดเลยครับ เดี๋ยวผมจะส่งไปรายการแฟนพันธุ์แท้ ตอน...แฟนพันธุ์แท้เจ้าสปา ดีมั๊ยครับ" ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ขัน
       "ไม่ตลกเลยคุณ ชั้นนึกแล้วเชียวว่าเจ้าของบ้านจะต้องอยู่ไม่เป็นที่ แล้วทำไมคุณต้องเลี้ยงหมาด้วย ไม่สงสารหมาคุณบ้างหรือไงมันก็อยากมีเพื่อนเล่นเหมือนกันนะ" ฉันใส่ต่ออีกชุด
       "ผมจ้างคนแถวนี้ดูแลให้อาหารเจ้าสปา ผมรู้ว่ามันคงเหงาแต่ชีวิตคือการได้เดินทางได้แสวงหา ผมเลี้ยงหมาไว้เป็นเพื่อนเพราะผมไม่มีใครถึงผมจะไม่ได้เอาหมาไปด้วยแต่เวลาที่ผมเดินทางทีไรผมก็คิดถึงมันเสมอทำให้ผมอยากกลับบ้านทุกครั้งเพราะรู้ว่ายังมีบางสิ่งรอผมอยู่ที่บ้าน" เขากล่าวอย่างสำนึกผิด
       "คิดถึงและอยากกลับบ้านทุกครั้งแล้วจะไปทำไม" ฉันแอบบ่นเบาๆอย่างไม่เข้าใจกับความคิดของเขาเลย
       ชายหนุ่มเชื้อเชิญฉันขึ้นบ้านและชวนฉันไปที่ระเบียง "นั่นๆ คิดอะไรกับชั้นรึเปล่านี่" ฉันแอบคิดในใจ แต่ก็ตามไปอย่างคนใจง่าย ก็คนมันอยากเห็นบ้านในฝันอยากเข้ามาในบ้านไม้สีขาวหลังนี้อยู่นานแล้วเมื่อมีโอกาสรวมทั้งเขาก็ไม่น่ากลัวอะไรฉันเลยเดินตามไปที่ระเบียงริมทะเล พระอาทิตย์ดวงโตๆสีส้มๆกำลังจมน้ำทะเลพอดี ลมทะเลเย็นๆโชยมา ฉันไม่ได้ฝันไปที่ได้มาอยู่ในบ้านในฝัน...สักครั้งน่ะ...บ้านไม้สีขาว...แค่นี้ก็สุขใจแล้ว
       ฉันเอ่ยขอบคุณสำหรับการดูพระอาทิตย์จมน้ำทะเล "มาเล่นกับสปาอีกนะครับ" เขากล่าวชวน ฉันไม่ได้ตอบอะไรไปกับเขาแต่หันไปยิ้มให้กับสปาอย่างรู้กันว่าจะมาหามันเหมือนเดิม
       ฉันยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งตอนขี่จักรยานกลับบ้าน คนเราไม่เหมือนกันเลยนะ ต่างคนก็ต่างมีความฝันมีจุดหมายฉันก็ฝันแบบหนึ่ง เขาก็ฝันอีกแบบหนึ่ง บางครั้งก็ต้องออกเดินทางถึงจะเจอสิ่งที่ฝันไว้และเมื่อออกเดินทางไปแล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ที่บ้านตัวเองแท้ๆ หมาน้อยในบ้านไม้สีขาวทำให้ฉันรู้จักการใช้ชีวิตด้วยความหวังแห่งการรอคอย มันเต็มใจที่จะรอคอยแม้ไม่รู้ว่าเจ้าของมันจะกลับมาเมื่อไหร่พร้อมๆกับการสร้างมิตรภาพใหม่ๆขึ้นมาด้วย ฉันยังคิดอยู่ในใจแค่นี้ก็ต้องให้หมามาสอนด้วย
       การรอคอยทำให้เราเหงาแต่ธรรมชาติจะหยิบยื่นความเคยชินมาให้กับเราเช่นเดียวกับมิตรภาพที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าเราสามารถหยิบยื่นให้กันโดยเปิดใจรับแล้วเราจะรู้ว่า....การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ดี
      

     

     

     

พระจันทร์...อร่อย

          
     กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอน สำนึกแห่งวัยเยาว์เริ่มหวนคืนมา เจ้าหญิง เจ้าชาย ดวงดาว ดอกไม้ พระจันทร์ ดินแดนแห่งความสุขที่เด็กๆรู้จักเป็นอย่างดี
     ฉันฟังนิทานมาหลายเรื่อง บางเรื่องก็สั้นบางเรื่องก็ยาวจากพ่อแม่และคุณครู บางเรื่องก็มีภาพให้ดูด้วย นิทานของฉันไม่ได้เพิ่มตามวัยและเวลาที่มากขึ้นแต่กลับดูจะห่างหายและลบเลือนไปตามเวลาและเรื่องราวในแต่ละวัน
     คงมีนิทานสักเรื่องที่ยังจำได้และเป็นนิทานที่อยู่ในความทรงจำ ฉันมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง นิทานของพ่อ พ่อเล่าให้ตอนฉันยังเป็นเด็กถึงนานมาแล้วแต่ฉันก็ยังจำได้เรื่อง "พระจันทร์...อร่อย" *
     "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระจันทร์ดวงกลมโตบนท้องฟ้ามีสีขาวนวลสวยงาม ทำให้สัตว์ต่างๆ พากันออกมาดูและนึกถึงรสชาดของอาหารที่แสนอร่อยของตน ช้างนึกถึงอ้อย ลิงนึกถึงกล้วย ส่วนเต่าก็นึกถึงผักบุ้ง เต่าอยากลองชิมพระจันทร์ จึงเดินขึ้นไปถึงยอดเขา แต่เขย่งขาอย่างไรก็ไม่ถึงพระจันทร์ เต่าจึงไปเรียกช้างมาช่วย ช้างขึ้นเหยียบหลังเต่าแล้วใช้งวงเอื้อมไปหาพระจันทร์ แต่พระจันทร์ขยับลอยหนีขึ้นไป ช้างเอื้อมงวงไม่ถึงกระจันทร์ ก็เลยไปเรียกยีราฟมาช่วย ยีราฟขี่หลังช้าง ช้างเหยียบบนหลังเต่า ยีราฟยืดคอยาวออกไป พระจันทร์คิดว่ายีราฟจะมาเล่นไล่จับก็ขยับลอยหนีออกไป ยีราฟก็เลยจับไม่ถึงพระจันทร์ จากนั้นก็มีม้าลาย สิงโต หมาจิ้งจอก ลิง มาช่วย  สัตว์ต่างๆ ขี่หลังต่อตัวซ้อนกัน แต่ก็จับไม่ถึงพระจันทร์ เพราะพระจันทร์ขยับตัวสูงขึ้นไป เมื่อลิงไปตามหนูให้มาช่วย สัตว์ทั้งหลายต่อตัวกันให้หนูอยู่บนสุด คราวนี้พระจันทร์เห็นว่าหนูตัวเล็กนิดเดียวก็เลยไม่เขยิบหนี หนูจึงจับพระจันทร์ได้ แล้วบิพระจันทร์ออกมากินหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ส่งต่อแบ่งให้เพื่อนๆ กิน สัตว์ทั้งหลายต่างมีความสุขที่ได้กินพระจันทร์แสนอร่อย ส่วนพระจันทร์ถูกกินจนแหว่งก็เลยกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้า" ฉันคิดว่านิทานจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่พ่อเล่าต่อว่า
     "ในท้องน้ำ ปลาเฝ้าดูด้วยความสงสัยว่าพวกเพื่อนๆ ต้องต่อตัวให้ลำบากทำไม ก็ในเมื่อพระจันทร์อยู่ในน้ำนี่เอง" นิทานเรื่องนี้ก็จบลง "อ้าว!!!จบง่ายๆแบบนี้เหรอ" ฉันแอบบ่นในใจ
     พ่อบอกว่า "ปลาได้ชิมรสชาดของพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนในน้ำ โดยไม่ต้องขึ้นไปที่สูงๆและจะให้ปลาปีนไปบนที่สูงๆก็ไม่ได้เพราะปลาต้องอยู่ในน้ำ เรื่องที่ดูเหมือนจะยากกลับง่ายนิดเดียว ก็เหมือนกับความสุขที่หาได้ง่ายๆใกล้ๆตัว สุขในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ต่างจากสัตว์อื่นๆที่ต้องพยายามไปหาความสุขที่อยู่ไกลแสนไกลและได้มาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่สิ่งที่พวกสัตว์เหล่านี้ฝากไว้ใ้ห้คิดอีกเรื่องหนึ่งก็คือต่างก็รู้จักเสียสละให้กับผู้อื่นยอมที่จะอยู่ด้านล่างขี่หลังต่อตัวซ้อนกันเพื่อให้ผู้อื่นสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้และรู้จักแบ่งปันความอร่อยของพระจันทร์ให้แก่กันด้วย"
     ฉันไม่รู้ว่าพ่อเอาเรื่องนี้มาจากไหนและตอนนั้นฉันเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แฝงมากับนิทานเท่าใดนัก รู้เพียงว่าอยากจะชิมพระจันทร์ว่ามันจะอร่อยจริงไหม^_^ ในวันและวัยที่มีเรื่องทุกข์ร้อนและความสุขหาไม่ได้ง่ายๆ กลับไปรื้อค้นหาอะไรปลอบใจในตู้หนังสือที่บ้าน "พระจันทร์...อร่อย" หนังสือนิทานเล่มเล็กของพ่อยังอยู่ดีแม้สีกระดาษและรูปภาพจะซีดจางไปบ้าง ฉันหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ทำให้ฉันคิดได้่ รู้จักปล่อยวาง มองสิ่งรอบๆตัวด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปและเข้าใจมากขึ้น
     หลายคนคงคิดว่าตัวเองโตแล้วจึงไม่สมควรฟังนิทานต่อไปคนที่ฟังนิทานสมควรจะเป็นเด็กๆมากกว่า แต่ฉันกลับคิดว่านิทานสร้างขึ้นเพื่อจรรโลงจิตใจ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจใ้ห้รู้จักรักและเสียสละแ่ก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
          นานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้ฟังนิทาน อาจจะนานจนจำไม่ได้ ฉันเพียงอยากจะบอกว่านิทานไม่เคยละเลยความสัมพันธ์ระหว่างผีเสื้อกับดอกไม้ นกนางนวลกับท้องทะเล หวังว่าคุณคงไม่ละเลยนิทานเรื่องเก่าให้หายไปจากความทรงจำเสมือน...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว!!!!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*"พระจันทร์...อร่อย" ปรีดา ปัญญาจันทร์ เรียบเรียง สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก, 2549 
ไมเคิล เกรจ์เนียซ เรื่องและภาพ จากเรื่อง How does the Moon taste?