23 เม.ย. 2555
11 เม.ย. 2555
หมาน้อยในบ้านไม้สีขาว
นาฬิกาบอกเวลา
5 โมงเย็น ฉันขี่จักรยานเล่นแถวๆริมทะเลหวังว่าจะได้ดูพระอาทิตย์ตกน้ำทะเล
ทุกๆวันฉันต้องผ่านบ้านไม้สีขาวหลังหนึ่ง
บ้านไม้สีขาวธรรมดาๆสำหรับใครหลายคนแต่สำหรับฉันแล้วมันคือบ้านในฝันและตรงกับแปลนบ้านที่ฉันคิดฝันไว้ฉันจึงสนใจเป็นพิเศษ
บ้านใครก็ไม่รู้แต่ที่รู้และที่เห็นเป็นบ้านไม้สีขาวสองชั้น
ประตูรั้วไม้ระแนงสีขาว ตัวบ้านยกสูงใต้ถุุนเปิดโล่ง
มีระเบียงกว้างมากๆและที่สำคัญบ้านหลังนี้ติดทะเล ถ้าฉันยืนตรงระเบียงดูพระอาทิตย์ตกน้ำทะเลคงเป็นมุมที่สวยที่สุดมุมหนึ่ง
มีต้นลีลาวดีซึ่งมีดอกไม่กี่ดอกและมีใบเพียงไม่กี่ใบ
มีต้นมะพร้าวหนึ่งต้นและมีหมาน้อยนอนอยู่ตรงบันไดขั้นที่5 "เฮ้ย...อยากจะเข้าไปจัง" ฉันเริ่มฟุ้งซ่าน
บ้านหลังนี้จะว่าเป็นบ้านร้างก็ไม่ใช่เพราะมีเจ้าหมาน้อยนอนอยู่ตรงบันได
เจ้าของบ้านต้องเป็นใครสักคนที่ไม่อยู่ติดกับที่จึงปล่อยให้บ้านเงียบขนาดนี้
ฉันมีความรู้สึกว่าหมาน้อยมันเหงาๆมันคงรอคอยใครสักคนมาเล่นกับมัน
ฉันเลยเข้าไปทักทายเจ้าหมาน้อย
เจ้าหมาน้อยมองฉันอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจกระดิกหางเข้ามาหาฉันตรงประตู
ฉันเอาขนมปังให้มันหนึ่งก้อน กินเองหนึ่งก้อน เจ้าหมาน้อยกินหมดก่อนฉัน ฉันเลยแบ่งให้มันอีกครึ่งก่้อน ฉันนึกสงสัยในแต่ละวันมันจะกินอาหารที่ไหนแต่เห็นเศษอาหารหมาสำเร็จรูปและจานอาหารอยู่ตรงข้างบันไดคงมีใครมีหน้าที่ให้อาหารเจ้าหมาน้อยทุกวันแหละ
ปกติแล้วฉันเป็นโรคไม่ถูกกับสัตว์สักเท่าไหร่ประหนึ่งไม่อาจเป็นนางสาวไทยได้แต่อดไม่ได้ที่จะลูบหัวมัน
มันก็ก้มหัวรับอย่างนอบน้อม เจ้าหมาน้อยทำให้ฉันรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของโดยทันที
ฉันจึงเรียกเจ้าหมาน้อยตัวนี้ว่า...สปา
เย็นวันรุ่งขึ้นฉันก็ไปเจ้าสปาอีกและไปมาหาสู่กันนานนับเดือน
คุยกันตรงประตูรั้วที่เดิม แม้จะมีประตูรั้วมาขวางกั้นฉันกับสปาไว้แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นมิตรภาพที่ฉันและสปาต่างมีให้กัน
ถ้าวันไหนฉันไม่ได้ไปหาเจ้าสปาฉันจะเป็นห่วงมันอย่างมาก มันจะหิวไหม
ใครจะเล่นกับมัน คิดแล้วอยากจะเจอหน้าเจ้าของ สปา....ทำไมใจร้ายนัก
วันนี้ฉันมาขี่จักรยานเล่นเช่นเดิมและไม่ลืมที่จะแวะหาเจ้าหมาน้อย
"สปา...สปา" ฉันเรียกหาเจ้าเพื่อนสี่ขา เงียบ...ไม่มีเจ้าสปามากระดิกหางต้อนรับอย่างทุกวัน
ฉันลองเรียกอีกครั้ืง ตาก็สำรวจความผิดปกติของบ้านไม้สีขาว วันนี้ประตูรั้วไม้ระแนงสีขาวเปิดอยู่ฉันเลยถือวิิสาสะเข้าไปโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร
"คุณรู้จักหมาผมด้วยเหรอครับ" ฉันหันไปมองตามเสียง
ชายหนุ่มแบกเป้ใบโตบนบ่าโดยมีเจ้าสปาอยู่ไม่ห่างกาย
"ชั้นตั้งชื่อหมาคุณว่าสปาเองแหละ ชั้นมาเล่นกับสปาทุกวัน
แล้วคุณไปไหนมาทำไมถึงปล่อยให้หมาคุณอยู่บ้านลำพัง"
ฉันใส่เป็นชุดเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้าสปา
"ผมก็เดินทางไปเรื่อย
ส่วนไอ้เจ้าตัวนี้ชื่อสปา ขอบคุณที่มาเล่นกับสปาหมาผมนะครับ แต่เอ๊ะ!!!
คุณนี่เก่งจังนะตั้งชื่อได้ตรงกับความจริงมากๆ สุดยอดเลยครับ
เดี๋ยวผมจะส่งไปรายการแฟนพันธุ์แท้ ตอน...แฟนพันธุ์แท้เจ้าสปา ดีมั๊ยครับ"
ชายหนุ่มตอบอย่างอารมณ์ขัน
"ไม่ตลกเลยคุณ
ชั้นนึกแล้วเชียวว่าเจ้าของบ้านจะต้องอยู่ไม่เป็นที่ แล้วทำไมคุณต้องเลี้ยงหมาด้วย
ไม่สงสารหมาคุณบ้างหรือไงมันก็อยากมีเพื่อนเล่นเหมือนกันนะ" ฉันใส่ต่ออีกชุด
"ผมจ้างคนแถวนี้ดูแลให้อาหารเจ้าสปา
ผมรู้ว่ามันคงเหงาแต่ชีวิตคือการได้เดินทางได้แสวงหา
ผมเลี้ยงหมาไว้เป็นเพื่อนเพราะผมไม่มีใครถึงผมจะไม่ได้เอาหมาไปด้วยแต่เวลาที่ผมเดินทางทีไรผมก็คิดถึงมันเสมอทำให้ผมอยากกลับบ้านทุกครั้งเพราะรู้ว่ายังมีบางสิ่งรอผมอยู่ที่บ้าน" เขากล่าวอย่างสำนึกผิด
"คิดถึงและอยากกลับบ้านทุกครั้งแล้วจะไปทำไม" ฉันแอบบ่นเบาๆอย่างไม่เข้าใจกับความคิดของเขาเลย
ชายหนุ่มเชื้อเชิญฉันขึ้นบ้านและชวนฉันไปที่ระเบียง
"นั่นๆ คิดอะไรกับชั้นรึเปล่านี่" ฉันแอบคิดในใจ
แต่ก็ตามไปอย่างคนใจง่าย
ก็คนมันอยากเห็นบ้านในฝันอยากเข้ามาในบ้านไม้สีขาวหลังนี้อยู่นานแล้วเมื่อมีโอกาสรวมทั้งเขาก็ไม่น่ากลัวอะไรฉันเลยเดินตามไปที่ระเบียงริมทะเล
พระอาทิตย์ดวงโตๆสีส้มๆกำลังจมน้ำทะเลพอดี ลมทะเลเย็นๆโชยมา
ฉันไม่ได้ฝันไปที่ได้มาอยู่ในบ้านในฝัน...สักครั้งน่ะ...บ้านไม้สีขาว...แค่นี้ก็สุขใจแล้ว
ฉันเอ่ยขอบคุณสำหรับการดูพระอาทิตย์จมน้ำทะเล
"มาเล่นกับสปาอีกนะครับ" เขากล่าวชวน
ฉันไม่ได้ตอบอะไรไปกับเขาแต่หันไปยิ้มให้กับสปาอย่างรู้กันว่าจะมาหามันเหมือนเดิม
ฉันยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งตอนขี่จักรยานกลับบ้าน
คนเราไม่เหมือนกันเลยนะ ต่างคนก็ต่างมีความฝันมีจุดหมายฉันก็ฝันแบบหนึ่ง
เขาก็ฝันอีกแบบหนึ่ง
บางครั้งก็ต้องออกเดินทางถึงจะเจอสิ่งที่ฝันไว้และเมื่อออกเดินทางไปแล้วก็เพิ่งจะรู้ว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ที่บ้านตัวเองแท้ๆ
หมาน้อยในบ้านไม้สีขาวทำให้ฉันรู้จักการใช้ชีวิตด้วยความหวังแห่งการรอคอย
มันเต็มใจที่จะรอคอยแม้ไม่รู้ว่าเจ้าของมันจะกลับมาเมื่อไหร่พร้อมๆกับการสร้างมิตรภาพใหม่ๆขึ้นมาด้วย
ฉันยังคิดอยู่ในใจแค่นี้ก็ต้องให้หมามาสอนด้วย
การรอคอยทำให้เราเหงาแต่ธรรมชาติจะหยิบยื่นความเคยชินมาให้กับเราเช่นเดียวกับมิตรภาพที่ไม่ใช่คนแปลกหน้าเราสามารถหยิบยื่นให้กันโดยเปิดใจรับแล้วเราจะรู้ว่า....การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ดี
พระจันทร์...อร่อย
กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอน สำนึกแห่งวัยเยาว์เริ่มหวนคืนมา เจ้าหญิง เจ้าชาย ดวงดาว ดอกไม้ พระจันทร์ ดินแดนแห่งความสุขที่เด็กๆรู้จักเป็นอย่างดี
ฉันฟังนิทานมาหลายเรื่อง บางเรื่องก็สั้นบางเรื่องก็ยาวจากพ่อแม่และคุณครู บางเรื่องก็มีภาพให้ดูด้วย นิทานของฉันไม่ได้เพิ่มตามวัยและเวลาที่มากขึ้นแต่กลับดูจะห่างหายและลบเลือนไปตามเวลาและเรื่องราวในแต่ละวัน
คงมีนิทานสักเรื่องที่ยังจำได้และเป็นนิทานที่อยู่ในความทรงจำ ฉันมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง นิทานของพ่อ พ่อเล่าให้ตอนฉันยังเป็นเด็กถึงนานมาแล้วแต่ฉันก็ยังจำได้เรื่อง "พระจันทร์...อร่อย" *
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระจันทร์ดวงกลมโตบนท้องฟ้ามีสีขาวนวลสวยงาม ทำให้สัตว์ต่างๆ พากันออกมาดูและนึกถึงรสชาดของอาหารที่แสนอร่อยของตน ช้างนึกถึงอ้อย ลิงนึกถึงกล้วย ส่วนเต่าก็นึกถึงผักบุ้ง เต่าอยากลองชิมพระจันทร์ จึงเดินขึ้นไปถึงยอดเขา แต่เขย่งขาอย่างไรก็ไม่ถึงพระจันทร์ เต่าจึงไปเรียกช้างมาช่วย ช้างขึ้นเหยียบหลังเต่าแล้วใช้งวงเอื้อมไปหาพระจันทร์ แต่พระจันทร์ขยับลอยหนีขึ้นไป ช้างเอื้อมงวงไม่ถึงกระจันทร์ ก็เลยไปเรียกยีราฟมาช่วย ยีราฟขี่หลังช้าง ช้างเหยียบบนหลังเต่า ยีราฟยืดคอยาวออกไป พระจันทร์คิดว่ายีราฟจะมาเล่นไล่จับก็ขยับลอยหนีออกไป ยีราฟก็เลยจับไม่ถึงพระจันทร์ จากนั้นก็มีม้าลาย สิงโต หมาจิ้งจอก ลิง มาช่วย สัตว์ต่างๆ ขี่หลังต่อตัวซ้อนกัน แต่ก็จับไม่ถึงพระจันทร์ เพราะพระจันทร์ขยับตัวสูงขึ้นไป เมื่อลิงไปตามหนูให้มาช่วย สัตว์ทั้งหลายต่อตัวกันให้หนูอยู่บนสุด คราวนี้พระจันทร์เห็นว่าหนูตัวเล็กนิดเดียวก็เลยไม่เขยิบหนี หนูจึงจับพระจันทร์ได้ แล้วบิพระจันทร์ออกมากินหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ส่งต่อแบ่งให้เพื่อนๆ กิน สัตว์ทั้งหลายต่างมีความสุขที่ได้กินพระจันทร์แสนอร่อย ส่วนพระจันทร์ถูกกินจนแหว่งก็เลยกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยวอยู่บนท้องฟ้า" ฉันคิดว่านิทานจะจบลงเพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่พ่อเล่าต่อว่า
"ในท้องน้ำ ปลาเฝ้าดูด้วยความสงสัยว่าพวกเพื่อนๆ ต้องต่อตัวให้ลำบากทำไม ก็ในเมื่อพระจันทร์อยู่ในน้ำนี่เอง" นิทานเรื่องนี้ก็จบลง "อ้าว!!!จบง่ายๆแบบนี้เหรอ" ฉันแอบบ่นในใจ
พ่อบอกว่า "ปลาได้ชิมรสชาดของพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนในน้ำ โดยไม่ต้องขึ้นไปที่สูงๆและจะให้ปลาปีนไปบนที่สูงๆก็ไม่ได้เพราะปลาต้องอยู่ในน้ำ เรื่องที่ดูเหมือนจะยากกลับง่ายนิดเดียว ก็เหมือนกับความสุขที่หาได้ง่ายๆใกล้ๆตัว สุขในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ต่างจากสัตว์อื่นๆที่ต้องพยายามไปหาความสุขที่อยู่ไกลแสนไกลและได้มาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่สิ่งที่พวกสัตว์เหล่านี้ฝากไว้ใ้ห้คิดอีกเรื่องหนึ่งก็คือต่างก็รู้จักเสียสละให้กับผู้อื่นยอมที่จะอยู่ด้านล่างขี่หลังต่อตัวซ้อนกันเพื่อให้ผู้อื่นสำเร็จในสิ่งที่หวังไว้และรู้จักแบ่งปันความอร่อยของพระจันทร์ให้แก่กันด้วย"
ฉันไม่รู้ว่าพ่อเอาเรื่องนี้มาจากไหนและตอนนั้นฉันเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แฝงมากับนิทานเท่าใดนัก รู้เพียงว่าอยากจะชิมพระจันทร์ว่ามันจะอร่อยจริงไหม^_^ ในวันและวัยที่มีเรื่องทุกข์ร้อนและความสุขหาไม่ได้ง่ายๆ กลับไปรื้อค้นหาอะไรปลอบใจในตู้หนังสือที่บ้าน "พระจันทร์...อร่อย" หนังสือนิทานเล่มเล็กของพ่อยังอยู่ดีแม้สีกระดาษและรูปภาพจะซีดจางไปบ้าง ฉันหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้ง ทำให้ฉันคิดได้่ รู้จักปล่อยวาง มองสิ่งรอบๆตัวด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปและเข้าใจมากขึ้น
หลายคนคงคิดว่าตัวเองโตแล้วจึงไม่สมควรฟังนิทานต่อไปคนที่ฟังนิทานสมควรจะเป็นเด็กๆมากกว่า แต่ฉันกลับคิดว่านิทานสร้างขึ้นเพื่อจรรโลงจิตใจ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจใ้ห้รู้จักรักและเสียสละแ่ก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นานแค่ไหนแล้วที่คุณไม่ได้ฟังนิทาน อาจจะนานจนจำไม่ได้ ฉันเพียงอยากจะบอกว่านิทานไม่เคยละเลยความสัมพันธ์ระหว่างผีเสื้อกับดอกไม้ นกนางนวลกับท้องทะเล หวังว่าคุณคงไม่ละเลยนิทานเรื่องเก่าให้หายไปจากความทรงจำเสมือน...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว!!!!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*"พระจันทร์...อร่อย" ปรีดา ปัญญาจันทร์ เรียบเรียง สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก, 2549
ไมเคิล เกรจ์เนียซ เรื่องและภาพ จากเรื่อง How does the Moon taste?
10 เม.ย. 2555
คำขอร้อง...จากปูเสฉวน
ปูเสฉวนมีบ้านเป็นเปลือกหอยเวลาไปไหนก็จะหอบบ้านไปด้วยพอมีศัตรูมารุกรานเขาก็จะแอบซุกตัวอยู่ในบ้านเปลือกหอย
ปูเสฉวนก็ไม่ต่างกับคนเท่าไหร่เป็นพวกขาดความอบอุ่นไม่ได้ทำให้นึกย้อนไปถึงสมัยยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ
หาโต๊ะเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครผ่านมาในบ้านเอาหมอนมากั้นเป็นกำแพงเอาผ้าห่มมาคลุมเป็นหลังคาสร้างเป็นบ้านของเรา
บ้านหลังน้อยที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มีแค่ตุ๊กตาหมีเน่าๆตัวหนึ่งที่อยู่กับเราได้เป็นวี่วัน
บางทีความสุขของชีวิตคนเราก็ไม่ต้องการอะไรมากพอๆกับปูเสฉวน...อบอุ่นที่ได้อยู่ในบ้านของเราแค่นี้ก็สุขพอแล้ว
แต่ใครจะคิดว่าบ้านที่เงียบสงบใต้โต๊ะจะถูกรุกรานจากเจ้าน้องตัวดีมาก่อสงครามพังบ้านของฉันโดยไม่รู้ตัวจะต่างอะไรกับปูเสฉวนที่ถูกขโมยเปลือกหอยไปทั้งๆที่อยู่บนหลังของตัวเอง
อยากจะปกป้องแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ปูเสฉวนตัวน้อยจึงต้องก้มหน้าก้มตาเดินทางตามหาบ้านหลังใหม่ซึ่งไม่รู้เลยว่าจะเหมาะกับตัวเองหรือเปล่าและที่สำคัญยังจะเหลือบ้านเปลือกหอยให้ซุกหัวนอนอยู่รึไม่???
หนาว...นะ...หนาว...พวกคุณจะรู้ไหม โปรดเข้าใจ...อย่าเอาบ้าน...ไปจากฉัน
ฉันเดินทาง...ตามหาบ้าน...มาหลายวัน บ้านของฉัน...หายไป...จากทะเล
ปูเสฉวน...ต้องการบ้าน...เป็นเปลือกหอย ปูเฝ้าคอย...หาบ้าน ...ใจว้าเหว่
บ้านอยู่ไหน...เริ่มหมดแรง...เดินโซเซ ยามโพล้เพล้...คลื่นทะเล...พัดปูจากโลกไป
เพื่อนๆปู...เสฉวน...ฝากบอกเรา อยากเห็นเขา...คู่ทะเล...ไม่ไปไหน
ปูเสฉวน...ต้องมีบ้าน...ป้องกันภัย เราทำได้...ปล่อยเปลือกหอย...ให้คงอยู่...คู่กับปู
หนาว...นะ...หนาว...พวกคุณจะรู้ไหม โปรดเข้าใจ...อย่าเอาบ้าน...ไปจากฉัน
ฉันเดินทาง...ตามหาบ้าน...มาหลายวัน บ้านของฉัน...หายไป...จากทะเล
ปูเสฉวน...ต้องการบ้าน...เป็นเปลือกหอย ปูเฝ้าคอย...หาบ้าน ...ใจว้าเหว่
บ้านอยู่ไหน...เริ่มหมดแรง...เดินโซเซ ยามโพล้เพล้...คลื่นทะเล...พัดปูจากโลกไป
เพื่อนๆปู...เสฉวน...ฝากบอกเรา อยากเห็นเขา...คู่ทะเล...ไม่ไปไหน
ปูเสฉวน...ต้องมีบ้าน...ป้องกันภัย เราทำได้...ปล่อยเปลือกหอย...ให้คงอยู่...คู่กับปู
ฉันไม่รู้ว่าบทสรุปของปูเสฉวนในอนาคตของทะเลไทยจะเป็นเช่นไร
จะเป็นการเอาเปรียบไปไหมถ้าเราครอบครองทุกพื้นที่ทั้งๆที่ทุกชีวิตก็มีสิทธิ์อยู่บนโลกอย่างเท่าเทียมกันถึงแม้ว่าจะตัวเล็กนิดเดียวก็ตาม
พื้นที่ของใครคนๆนั้นก็รักปูเสฉวนก็เช่นกัน รักบ้านเปลือกหอย รักทะเล
และอยากมีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่บนโลกใบนี้อย่างมีความสุขแบบเดียวกับมนุษย์ทุกคน
ดวงดาว...แพลงก์ตอน
แนะนำเรื่องแบบย่อๆ
ประสบการณ์จากแพลงก์ตอนตัวเล็กแต่สร้างแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้กับฉัน คืนนี้ฉันก็ได้พบกับความจริงในห้องLabที่เรียกว่า "ทะเล"
ประสบการณ์จากแพลงก์ตอนตัวเล็กแต่สร้างแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้กับฉัน คืนนี้ฉันก็ได้พบกับความจริงในห้องLabที่เรียกว่า "ทะเล"
ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
เป็นบันทึกถึง...ทะเล
ที่มีแรงบันดาลใจจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่เรียกว่า...แพลงก์ตอน
ดวงดาวแพลงก์ตอน
ในสมุดเลกเชอร์(lacture)
วิชาแพลงก์ตอนวิทยาที่เพื่อนๆชอบยืมไปถ่ายเอกสารในช่วงเทศกาลสอบ
จะมีคำย่อที่รู้กันในหมู่เพื่อนฝูงจนถึงรุ่นน้องในสาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่ได้รับการสืบทอดตำราเรียนเล่มเก่า
นั่นคือ คำว่า “ pk. “ pk. เขียว หรือ
phytopk. (pk.ที่เป็นผู้ผลิตเบื้องต้นในระบบนิเวศทางทะเล)
ใครที่เป็นสมาชิกใหม่หรือรุ่นน้องที่ไม่ได้สนิทกันมากอาจจะงงๆว่า pk. คืออะไร แต่ในนามของเด็ก Marine Science ต้องรู้แน่ว่า คือ plankton (แพลงก์ตอน) สิ่งมีชีวิต
ทั้งพืชและสัตว์ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ
ไม่สามารถว่ายน้ำไปยังทิศทางที่ต้องการได้อย่างอิสระ
มีขนาดเล็กที่ตาเปล่ามองไม่เห็นจนถึงขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้และจับมากินอย่างแมงกะพรุนที่แสนจะกรุบกรอบเวลาเคี้ยวอยู่ในปาก
แบ่งได้เป็น แพลงก์ตอนพืช ที่เป็นสาหร่ายต่างๆ เช่น ไดอะตอม
ที่เป็นอาหารอันโอชะของแพลงก์ตอนสัตว์ซึ่งเป็นพวกที่สองในกลุ่มแพลงก์ตอน เช่น
ตัวอ่อนของสัตว์หลายชนิด พวกกุ้ง ปู กั้ง หอย ปลาบางชนิด
ในชั่วโมงเรียนทฤษฎีวิชาแพลงก์ตอนวิทยาฉันจะเข้าเรียนทุกคาบเนื่องจากเป็นผู้เสียสละในฐานะผู้ที่คอยเสนอสมุดเลกเชอร์ในช่วงสอบ
(เหมือนเป็นsaleยังไงก็ไม่รู้)
ทำให้ฉันต้องกอบโกยความรู้ที่หน้าจอคอมคอมพิวเตอร์และคำพูดที่อาจารย์พูดพร้อมกันลงในสมุดเลกเชอร์เล่มเล็กให้มากที่สุด
ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นคนขยันอะไรมากมาย
แต่ด้วยภาระหน้าหน้าที่ที่ค้ำคอและแววตาที่น่าสงสารของเพื่อนๆจนทำให้ฉันต้องดำรงตำแหน่งนี้ราวกับนายกรัฐมนตรีเป็นเวลาถึง
4 ปี ฉันลงจากตำแหน่งนี้เมื่อจบการศึกษา
อย่างที่บอกไปแล้วว่าฉันไม่ใช่คนขยันมากมายฉันจึงยอมใช้สิทธิ์ที่เพื่อนๆใช้กันไปแล้วในชั่วโมงเรียนทฤษฎีวิชาแพลงก์ตอนวิทยา
ฉันจึงไม่เข้าเรียนวิชาLabแพลงก์ตอนโดยอ้างเหตุผลที่ว่าไปห้องสมุดหาความรู้อื่นนอกเหนือจากตำราเรียน
ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ที่เคาท์เตอร์ นิตยสาร วารสาร จนถึงนิยาย เรื่องสั้นต่างๆ
ขลุกตัวอยู่จนหมดวันโดยไม่เข้าเรียนวิชาLabแพลงก์ตอนเลย
มีอยู่วันหนึ่งที่มีเรียนวิชาLabแพลงก์ตอนแต่ห้องสมุดหยุดบริการ
ฉันไม่มีที่ไปเพราะที่หอไฟก็ดับถ้าจะนอนก็คงจะร้อนก็เลยต้องทำใจไปเรียนวิชาLabแพลงก์ตอน
ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เข้าเรียนจึงมีไม่รู้ว่าแพลงก์ตอนแต่ละชนิดหน้าตาเป็นอย่างไร
วันนี้เลยรู้จักหนึ่งตัวเจ้าไดโนแฟลกเจลเลต (Dinoflagelate)
ก็คือ แพลงก์ตอนธรรมดาชนิดหนึ่งเมื่อแรกเห็นจากกล้องจุลทรรศน์
มีหนวดสามารถเคลื่อนไหวได้ เจ้าไดโนแฟลกเจลเลตทำให้เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสี
(Red tide) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ ขี้ปลาวาฬ ”
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนพืชจนทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสีไปจากสีน้ำทะเลธรรมชาติ
เมื่อเจ้าไดโนแฟลกเจลเลตมีการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
(Bloom) ทำให้น้ำทะเลเปลี่ยนสีเป็นสีแดง
บางครั้งเห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียว สีแดง สีน้ำตาลแดง ส่งผลต่างๆ เช่น
เจ้าไดโนแฟลกเจลเลตสามารถสร้างสารพิษได้
เมื่อหอยกินไดโนแฟลกเจลเลตนี้เข้าไปพิษจะสะสมอยู่ในหอยโดยไม่ทำอันตรายแก่หอยแต่จะส่งผลต่อคนที่กินหอยตัวนั้นและอาจจะเกิดพิษอัมพาตได้ซึ่งจะทำให้คนเสียชีวิต
ฉันรู้แค่นั้นในวิชาLabแพลงก์ตอน
พอเลิกเรียนดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังเหมือนเดิม ห้องเรียนห้องเก่า
กล้องจุลทรรศน์ตัวเดิม สมุดเลกเชอร์เล่มเดิม ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าเดิม
เย็นวันนั้นก็หมดไปตามแสงของดวงตะวันที่จมหายไปกับน้ำทะเล
คืนนี้พระจันทร์ถูกบดบังหลังเมฆก้อนใหญ่
ดาวดวงเล็กดวงน้อยก็พลอยหลบหน้าตามไปด้วยจึงเห็นเพียงแสงไฟสองข้างทางของมหาวิทยาลัย*
แต่ยังมีคนโรแมนติกชวนไปนั่งเล่นที่ชายหาดของคณะฯ*ยามค่ำคืน คิดอะไรของเขากันนะ
แต่ฉันก็ตามไปอย่างว่าง่ายเพียงเพราะไม่อยากเซ็งอยู่ที่หอตอนหัวค่ำ
พอลมโชยถูกหน้าความเริงร่ำก็ขับไล่ความเบื่อหน่ายออกไปหมด
ฉับกับใครอีกคนเดินเล่นอยู่ริมชายหาดไม่มีใครเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด
ต่างฟังบทเพลงแห่งท้องทะเลที่ขับกล่อม
ผืนฟ้าเป็นสีเดียวกับพื้นน้ำ...สีดำแห่งรัตติกาล
คลื่นเข้าหาฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงแผ่วเบาทำหน้าที่ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง
ทะเลยามค่ำคืนก็โรแมนติกไปอีกแบบสักพักฉันก็ผลักใครอีกคนที่ชวนมาด้วยลงไปในน้ำทะเลมีแสงระยิบระยับเกิดขึ้นที่น้ำทะเล
เราหยุดดูกัน สวยดีในความรู้สึกฉันเอามือตีน้ำทะเลและวิ่งอยู่ในน้ำทะเลอยู่พักใหญ่
แสงเกิดขึ้นเป็นทางยาวตามที่เราเดินหรือวิ่งไป
จึงเห็นข้อดีในวันที่พระจันทร์หลบหน้าดวงดาวหลับไหล แต่ในน้ำดาวยังส่องแสง
ทำให้คิดไปถึงชั่วโมงเรียนทฤษฎีวิชาแพลงก์ตอนวิทยาที่ร่ำเรียนมา
แสงที่เกิดขึ้นเกิดจากสารประกอบพวกฟอสฟอรัสในทะเล
ฟอสฟอรัสจะเรืองแสงเฉพาะเวลาที่เกิดการเสียดสีกัน
เวลาที่มีคลื่นกระทบฝั่งแรงๆเวลากลางคืน
แต่ในน้ำนิ่งๆจะไม่มีการเรืองแสงของพวกฟอสฟอรัสเลย
ชาวประมงเรียกการเรืองแสงของฟอสฟอรัสว่า พรายน้ำ พรายทะเล หรือผีพราย
ฟังแล้วน่ากลัวฉันจึงขอเรียกเจ้าฟอสฟอรัสว่า “
ดวงดาวแห่งท้องทะเล ” ฟังแล้วน่าดูน่ามองและน่าฟังมากกว่าเพราะว่าไม่น่ากลัวและที่สำคัญสวยเหมือนดาวบนท้องฟ้า
พูดถึงการเรืองแสงในทะเลพวกแพลงก์ตอนก็สามารถเรืองแสงได้เหมือนกัน เช่น
ไดโนแฟลกเจลเลต โคพีพอด (ตัวอ่อนของลูกกุ้ง ลูกปู ลูกปลา) พวกนี้เป็น
Fluorescent plankton เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีโปรตีนที่เรียกว่า Fluorescent protein (โปรตีนเรืองแสง) จึงเห็นแสงวับๆแวมๆคล้ายหิ่งห้อยอยู่ในทะเลยามค่ำคืน
แบคทีเรียบางชนิดในทะเลก็สามารถเรืองแสงได้เหมือนกัน เช่น พวกวิบริโอ
(Vibrio sp.) ซึ่งก่อการเรืองแสงในตัวกุ้ง
ทำให้กุ้งเป็นโรคและตายในที่สุด
ในห้องเรียนห้องเล็กมีเรื่องราวบอกกล่าวไว้อาจจะจริงหรือไม่จริงเราก็ไม่รู้
แต่ห้องเรียนห้องใหญ่ข้างนอกมีเรื่องมากมายให้เรียนรู้และค้นหาความจริงที่เคยร่ำเรียนมา
อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีก็ต้องมีการค้นคว้าทดลอง
คืนนี้ฉันก็ได้พบกับความจริงในห้องLabที่เรียกว่า
“ทะเล ”
“ทะเล ”
หลังจากค่ำคืนนี้หมดไปวันใหม่ก็ทำหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ
ฉันไปเรียนวิชาแพลงก์ตอนวิทยาทั้งทฤษฎีและLabไม่เคยขาด
แอบขอบคุณดวงดาวแห่งท้องทะเลที่เสมือนแรงบันคาลใจในความใฝ่รู้
อยากรู้จักอีกหลายชีวิตที่ก่อเกิดในทะเล
จึงทำให้ฉันได้เล็งเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่ดี ทำให้การมองโลกของเรากว้างขึ้น
มีความคิดต่างไปเมื่อได้เห็นหรือเรียนรู้อะไรที่แปลกใหม่
เราอาจจะมองโลกกันคนละมุมกันแต่เราสามารถแลกเปลี่ยนความรู้สึกกันได้
นี่คือประสบการณ์จากแพลงก์ตอนตัวเล็กแต่สร้างแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ให้กับฉัน
ทะเลยามค่ำคืนก็สวยดีเหมือนกันมีหลายชีวิตเชื้อเชิญให้เราไปค้นหาด้วยความเป็นมิตร
คืนไหนว่างๆถ้าไม่มีที่ไปทะเลอาจเป็นคำตอบสุดท้าย
ลองแวะไปทะเลให้เท้าได้สัมผัสผืนทราย ให้ลมสัมผัสหน้า
ให้ดวงตาสัมผัสแสงระยิบระยับจากแพลงก์ตอนหรือดวงดาวแห่งท้องทะเล
แล้วคุณจะหลงรักทะเลยามค่ำคืนอย่างหมดหัวใจอย่างที่ฉันรัก....
บันทึกถึง....ทะเล
AromaPat
.......................................................................................................................................................
มหาวิทยาลัย*
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศริวิชัย วิทยาเขตตรัง
คณะฯ* คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมง
สาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเล
http://aromapat.multiply.com/journal/item/4
http://aromapat.multiply.com/journal/item/4
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)